ไข้เลือดออก ข้อมูล โรคไข้เลือดออก


บทความและภาพประกอบโดย
นาวาอากาศเอก(พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ
ยุงลายกัดคน(ป่วย..เป็นไข้)เลือดออกตาย
แต่แพทย์ผู้รักษาเป็นจำเลย... ?
หน้าห้องไอซียู... แม่ของเด็กหญิง เดินไปมาอย่างกระสับกระส่าย นางบ่นกับญาติว่า
"ทำไม ไปหาหมอไม่รู้กี่ครั้ง หมอไม่รู้ว่าเป็นไข้เลือดออก มารู้ ก็จวนแย่แล้ว"
"ถ้าลูกชั้นเป็นอะไร ฉันจะฟ้องหมอ ฟ้องโรงพยาบาล..."
นางเอ่ยถึงชื่อคลินิก และโรงพยาบาล ที่ไม่สามารถบอกได้ว่าลูกสาวเป็นโรคไข้เลือดออก ...
โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่สร้างความสับสนให้กับทั้งแพทย์และคนไข้มากที่สุด ด้วยอาการที่เริ่มต้นด้วยลักษณะเช่นเดียวกับไข้หวัดธรรมดา ไปจนถึงไข้หวัดใหญ่ หรืออาจมีอาการไข้อย่างเดียวนำมาก่อน โดยไม่มีการออกอาการเฉพาะใดๆ ในวันแรกๆ หมอทั้งร้อยคน หากตรวจวินิจฉัยตามตำราย่อมแยกออกแทบไม่ได้ ต้องอาศัยการติดตาม ตัวคนไข้ว่าหากรักษาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น นัดตรวจ ติดตามดูอาการอื่นๆ ที่จะปรากฏร่วมเช่น คลื่นไส้อาเจียน จนถึงปวดท้อง (ซึ่งก็คล้ายกับไข้หวัดลงกระเพาะลำไส้ อยู่ดี) ในระยะนี้ บางทีก็จะชวนสงสัยได้ยาก แม้รัดแขนก็อาจไม่สามารถบ่งได้ว่าเป็นไข้เลือดออก

กว่าจะมีอาการ "จำเพาะ" ของกลุ่มไวรัสนี้ก็เช่น เกร็ดเลือดต่ำ มีจุดเลือดออก หรือมีเลือดออกที่ต่างๆ ในร่างกาย ก็เป็นระยะท้ายๆ ที่มักมีอาการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก แต่ยังโชคดีที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็น ไข้เด็งกี่ (Dengue Fever) แล้วกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ โดยไม่เข้าสู่สภาวะช็อก ที่เรียกว่า เด็งกี่ช็อกซินโดรม (Dengue Shock Syndrome- DSS) ที่เป็นเหตุให้เสียชีวิต ทำให้แพทย์ต้องเฝ้าใกล้ชิดในไอซียู แก้ปัญหาช็อกและต่อสู้กับกลไกเลือดออกไม่หยุด ด้วยการที่สมดุลน้ำเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว รวมถึงให้เกร็ดเลือด (ซึ่งหาได้ยาก-แม้ กาชาดเองหรือโรงพยาบาลใหญ่ๆ ในกรุงเทพ ที่จะพอเหมาะเข้ากันได้กับคนไข้ ซ้ำยังต้องใช้ปริมาณมหาศาล และอาจหาไม่ได้เลยในรพ.ต่างจังหวัด)
ขณะช็อกคนไข้ต้องการน้ำเพื่อพยุงความดัน แต่หากกระบวนการช๊อกหยุด น้ำที่ให้เพื่อแก้อาการช๊อกเป็นลิตรๆ ที่กู้ให้หัวใจไม่ล้มเหลวตายในระหว่างช๊อก จะพร้อมใจกันกลับเข้าเส้นเลือดจนท่วมท้นปอดหัวใจ
โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เป็นเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้โดยง่าย (แม้จะมีแพทย์จะเฝ้าอยู่ข้างเตียง ก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้ทัน)ไม่รวมถึงการมีเลือดออกในสมองและอวัยวะต่างๆ ที่ถึงจะให้เกร็ดเลือดไปก็อาจไม่ทำงาน โดยโรคเอง ด้วยซ้ำ ทั้งนี้รวมถึงในระดับโรงเรียนแพทย์ ไม่ว่า จุฬาฯ ศิริราชฯ หรือรามาฯ เอง ก็เคยมีเสียชีวิตในลักษณะนี้มาแล้วทั้งสิ้น
ปัญหาของโรคนี้ ในสังคมเมื่อเกิดขึ้นแล้วคือ




ปี - พศ. | ป่วย (คน) | ตาย (คน) | อัตราป่วยเสียชีวิต (%) |
2550 | 62,999 | 90 | 0.14% |
2549 | 42,456 | 59 | 0.14% |
2548 | 44,725 | 82 | 0.18% |
2547 | 37,316 | 49 | 0.13% |
2546 | 62,526 | 78 | 0.13% |
สังเกตว่าในประเทศไทย ในรอบ 4 ปี มีป่วยเพิ่มขึ้นและตายเพิ่มขึ้น การเสียชีวิตจะมาหลังอาการช็อก เป็นส่วนใหญ่ นั่นแปลว่ามีผู้ป่วยไข้เลือดออกที่ช็อกและตาย ประมาณ 0.13-0.18% หรือ 1-2 ต่อ 1,000 คนป่วย ซึ่งนับว่ามาก โดยต้องไม่ลืมว่าส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ช็อกนี้ แพทย์ต้อง "เฝ้า" ปรับสมดุลของสารน้ำ และเลือดจนกลับมาปกติ และความน่าทึ่งของโรคนี้คือ ยามช็อกนั้น...
เด็กๆ หรือผู้ป่วยเหนื่อยแน่น ซึม ทุรนทุราย ราวมีเพียงเส้นบางๆขั้นชีวิตกับมัจจุราช แต่ตอนหาย "เด็กกลับสดใสร่าเริงในวันถัดกันราวกับไม่เคยป่วยมาก่อน"



มีความเชื่อกันว่ายุงลายทำให้โรคระบาดมากขึ้นเพราะสิ่งแวดล้อมโลก เช่นภาวะ โรคร้อน ฤดูกาล ภูมิอากาศ เปลี่ยนแปลง สับสน หากหยุดยั้งไม่ได้ การเจ็บป่วยโรคนี้ในปีนี้อาจเป็นถึง เกือบ 2 เท่า คนตายอาจต้องมากตามไปด้วย แปลว่า ต้องมีครอบครัวผู้ได้รับความเสียใจมากขึ้น และแพทย์ก็จะต้องถูกเป็นจำเลยมากขึ้น...จากพฤติกรรมของยุง และสิ่งแวดล้อมอย่างไม่ต้องสงสัย...
ที่น่าสังเกตคือวงรอบความรุนแรง คล้ายเป็น 4 ปีครั้ง เพราะการนำโรคจาก "ยุงลาย" ที่ทุกท่านทราบดี

1. ระดับครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุตรหลาน ปีนี้คาดว่าลูกหลานน่ารักของท่าน อาจกว่าร้อยคนต้องถูกส่งไปสังเวยโศกนาฏกรรมนี้ ขณะที่อีกกว่า 6 หมื่นคนต้องเจ็บป่วย หยุดงานไปจนถึงนอนโรงพยาบาล ขาดรายได้ ขาดเรียน ขาดงาน...ตีมูลค่าความเสียหายไม่ได้
2. ระดับรัฐ ต้องเสียค่ารักษาจากงบประมาณของรัฐ อีกหลายสิบล้านบาท เพิ่มภาระงาน โรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมอ พยาบาล และซ้ำร้าย เป็นโรคที่มีกลไกเข้าใจยาก ผู้ที่สูญเสียที่มิได้เตรียมใจย่อมเป็นทุกข์ ก่อให้เกิดประโยค ตอนต้นของบทความนี้ และในยุคที่การฟ้องร้องมากมาย
3. ระดับที่ คือความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย ที่ไม่เข้าใจกัน ความผิดหวังที่รับไม่ได้ในกรณีเสียชีวิตของบุตรหลาน การฟ้องร้องที่จะเกิด จากยุงที่เป็นฆาตกรหลักที่ลอยนวล อาจเปลี่ยนเป็นแพทย์ผู้รักษาโรคต้องถูกพิจารณาเป็นจำเลยหากคนไข้เสียชีวิตเช่นเดียวกับฆาตกร โดยที่สังคมและชุมชนรอบๆ ตัวผู้ป่วยอาจยังไม่เคย หรือละเลยในการกำจัดยุงลายด้วยซ้ำไป ...
ลักษณะโรคที่เป็นเช่นนี้ ญาติผู้ป่วยย่อม โกรธ เสียใจ ผิดหวัง นำไปสู่กระบวนการดังกล่าวได้โดยง่าย สัมพันธภาพผู้ป่วยและแพทย์ภาครัฐที่เปราะบาง ยอมหวั่นไหว สัญชาติญาณ การรักตน รักครอบครัว กลัวการฟ้องร้อง อาจทำให้แพทย์ต้องรั่วออกจากระบบที่ขาดแคลนกว่า 2,000 คน ไปอีกหรือไม่ กระทรวงสาธารณสุขเจ้าภาพจะเตรียมแก้ไขปัญหาเพื่อคุ้มครองประชาชนอย่างไร?? กองทุนต่างๆ การไกล่เกลี่ย เยียวยา สังคม และดูแลบุคลากรของท่าน พร้อมหรือไม่...
หากถามว่าควรจะแก้ไขได้อย่างไร? ต้องย้อนกลับไปดูกระแสพระราชดำรัสว่า
"โครงการปราบยุงลายคั่งค้างมานานแล้ว และอันตรายยังมีอยู่มาก อยากให้ปราบปรามอย่างจริงจัง อันตรายจากโรคไข้เลือดออกจะได้ทุเลาลง"
พระราชทาน ณ วังไกลกังวล 24 สิงหาคม 2542 แสดงความห่วงใยของในหลวง ในสถานการณ์และแสดงแนวทางการแก้ไขชัดเจน...

ส่วนวิธีการทั้งหลาย นั้นผมขออนุญาตไม่กล่าวถึงในที่นี้ครับ เพราะมีการรณรงค์ทั่วไปหมดแล้ว ท่านหาอ่านได้ไม่ยาก และหากต้องการความรู้เพิ่มเติม และสถิติการป่วยและตายทุกสัปดาห์ อ่านได้จาก http://dhf.ddc.moph.go.th/ ครับ
ทางกระทรวงสาธารณสุขโดยคุณหมอ กิตติ ปรมัตถผล ท่านทำไว้ดีมาก และแนวทางการรักษานั้นก็โหลดสามารถดูได้ที่ http://dhf.ddc.moph.go.th/project/student/Pagiranaka.zip
บทสรุปคือ
"อย่าปล่อยให้ฆาตกร (ร้อยศพ) ลอยนวล"
ก่อนโศกนาฏกรรมบทใหม่จะเริ่มบรรเลง
ท้ายสุดบุคคลในครอบครัวที่ท่านรัก...ประชาชน และบุคคลากรการแพทย์กลับต้องเป็นผู้สูญเสีย...
เริ่มจัดการ "ยุงลาย" ในบ้านท่าน..เสียแต่วันนี้เถอะครับ
ทางกระทรวงสาธารณสุขโดยคุณหมอ กิตติ ปรมัตถผล ท่านทำไว้ดีมาก และแนวทางการรักษานั้นก็โหลดสามารถดูได้ที่ http://dhf.ddc.moph.go.th/project/student/Pagiranaka.zip

"อย่าปล่อยให้ฆาตกร (ร้อยศพ) ลอยนวล"
ก่อนโศกนาฏกรรมบทใหม่จะเริ่มบรรเลง
ท้ายสุดบุคคลในครอบครัวที่ท่านรัก...ประชาชน และบุคคลากรการแพทย์กลับต้องเป็นผู้สูญเสีย...
เริ่มจัดการ "ยุงลาย" ในบ้านท่าน..เสียแต่วันนี้เถอะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น